การเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
|
|
"กล้ามเนื้อเป็นอีกอวัยวะหนึ่งของร่างกายที่มีความสามารถพิเศษในการเพิ่มขนาดและปริมาณได้อย่างน่ามหัศจรรย์"
|
"กล้ามเนื้อ" มีความสามารถในการปรับตัวไปตามระดับปริมาณที่เหมาะสมขึ้นกับการใช้งานได้โดยไม่จำกัดเพศหรือวัย
การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักหรือใช้แรงต้าน (strengthening or
resistant exercise) อย่างถูกวิธีตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา (Sports
Science) จะทำให้กล้ามเนื้อสามารถเพิ่มขนาด (muscle
hypertrophy) เพิ่มความทนทาน (muscle endurance) เพิ่มความแข็งแรง (muscle strength) และเพิ่มพละกำลัง
(power) ร่วมกับการมีสัดส่วนของอาหารที่มีปริมาณโปรตีนมาก
เพียงพออย่างเหมาะสม จะช่วยส่งผลให้การฝึกกล้ามเนื้อมีคุณสมบัติดังกล่าว
ได้ตามความต้องการ
|
หลักการฝึกเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
|
การเสริมสร้างกล้ามเนื้อทำได้โดยอาศัยหลักการฝึกเพื่อการเสริมสร้างและการเพิ่มสมรรถภาพทางกาย
(body conditioning and performance) ซึ่งประกอบด้วยหลักการดังนี้
|
|||||
1.หลักการให้น้ำหนักหรือแรงที่มากกว่าปกติ
(Overload)
|
2. หลักความแตกต่างระหว่างบุคคล
|
||||
น้ำหนักหรือแรงที่มากกว่าปกติเป็นสิ่งเร้าที่ช่วยกระตุ้น
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทางสรีรวิทยาในกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อจะมีขนาดเพิ่มขึ้น มีแรงยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากได้ |
กล่าวคือ
แต่ละคนย่อมแตกต่างกันทั้งด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
ทำให้ผลของการฝึกในลักษณะเดียวกัน
อาจได้ผลไม่เท่ากันหรือตอบสนองต่อการฝึกแตกต่างกันไป
|
||||
3.หลักการเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
(Progression)
|
แม้ว่าการให้น้ำหนักหรือแรงที่มากกว่าปกติจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง
ดังกล่าวแล้ว แต่การให้น้ำหนักหรือแรงที่มากกว่าปกตินี้
ต้องทำอย่างเหมาะสมและค่อยเป็นค่อยไป โดยคำนึงถึงเรื่องกรอบเวลาการฝึกด้วย
|
||||
|
|||||
หลักการฝึกอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมนี้
รวมถึงการให้เวลากล้ามเนื้อได้ฟื้นตัวหลังจากฝึกอย่างหนักและต่อเนื่อง
เราควรคำนึงไว้เสมอว่า ร่างกายต้องการเวลาพักผ่อนหลังจากตรากตรำทำงานหนักฉันใด
กล้ามเนื้อก็ต้องการพักผ่อนและฟื้นตัวหลังจากเราให้มันฝึกงานหนักแล้วฉันนั้น
การใช้งานกล้ามเนื้อหนัก ๆ โดยไม่ปล่อยให้กล้ามเนื้อได้พักบ้างเลย
จะเป็นเหตุให้เกิดแผลทั้งทางกาย (กล้ามเนื้อบาดเจ็บ) และแผลทางใจ (ความเครียด
ความวิตกกังวล) พาลให้ไม่อยากฝึกเสริมสร้างกล้ามเนื้ออีกต่อไป
|
|||||
|
|||||
เทคนิคการฝึกกล้ามเนื้อ
|
ตารางช่วยคำนวณ 1RM
|
||||
ก่อนเริ่มการฝึกกล้ามเนื้อ
ควรมีการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในแต่ละมัด ด้วยหาค่าน้ำหนักที่กล้ามเนื้อนั้นจะยกได้มากที่สุดในครั้งเดียว
(repetition maximum) ด้วยการลองยกน้ำหนักที่คาดว่าจะยกได้ประมาณ
4-10 ครั้ง แล้วยกต่อไม่ไหวใช้จำนวนครั้งยกได้จริงหาค่า repetition
factor ในตารางค่า repetition factor เพื่อนำไปคูณกับปริมาณน้ำหนักที่เลือกมา
จะได้ค่าน้ำหนักสูงสุดที่ยกได้ในครั้งเดียว (1RM) เช่น
เลือกน้ำหนักที่ยก 5 กิโลกรัม ยกน้ำหนักได้ 6 ครั้งเท่านั้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นที่จะยกน้ำหนักได้สูงสุด
(1RM) คือ 5 x 1.20 = 6 กิโลกรัม
เมื่อหาค่าน้ำหนักสูงสุดของกล้ามเนื้อแต่ละมัดที่จะฝึกและจดบันทึกไว้ ให้เลือกผลลัพธ์ของการฝึกกล้ามเนื้อชนิดที่ต้องการ เปลี่ยนแปลงการฝึกตามระดับความหนักของน้ำหนักสูงสุด (%RM) จำนวนครั้งที่ยก (repetition) และจำนวนชุดของการยก (set) ระยะพักระหว่างชุด (rest time) ดังในตารางเปรียบเทียบวิธีการฝึกกล้ามเนื้อที่แสดงไว้ เมื่อได้ทำการฝึกไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ ควรจะทำการหาค่าน้ำหนักสูงสุด (1RM) ใหม่ เพราะกล้ามเนื้อที่ฝึกจะแข็งแรงขึ้น เนื่องจากมีการปรับตัวตามผลของการฝึกแล้ว ควรมีการปรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นใหม่ให้มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มการฝึกความแข็งแรงของกล้ามโดยไม่เคยทำมาก่อน ควรเริ่มจากการฝึกระดับเบา เพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อก่อน แล้วจึงค่อยปรับเปลี่ยนน้ำหนักและจำนวนครั้งให้ได้ผลลัพธ์ต่าง ๆ ตามที่ต้องการในแต่ละสัปดาห์ ไม่ควรเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อจนต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน เป็นการรบกวนความก้าวหน้าของการฝึกในที่สุด |
ครั้งที่ยกได้
|
Repetition Factor
|
|||
1
|
1.00
|
||||
2
|
1.07
|
||||
3
|
1.10
|
||||
4
|
1.13
|
||||
5
|
1.16
|
||||
6
|
1.20
|
||||
7
|
1.23
|
||||
8
|
1.27
|
||||
9
|
1.32
|
||||
10
|
1.36
|
||||
11
|
1.40
|
||||
12
|
1.43
|
||||
|
|
||||
|
|||||
ตารางเปรียบเทียบเทคนิควิธีการฝึกกล้ามเนื้อชนิดต่างๆ
|
|||||
ระดับความหนัก
|
ผลลัพธ์
|
% 1RM
|
ครั้งที่ยก
|
เซท
|
ระยะพัก
|
หนัก
|
Power
|
80
|
1-3
|
3-6
|
2-4 นาที
|
หนัก
|
Strength
|
80-90
|
3-8
|
3-6
|
2-4 นาที
|
ปานกลาง
|
Hypertrophy
|
70-80
|
8-12
|
3-6
|
30-90 วินาที
|
เบา
|
Muscular endurance
|
ุ60-70
|
12-15+
|
2-3
|
น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 วินาที
|
|
|||||
อาหารและโภชนาการเพื่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
|
|||||
ดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า
การเสริมสร้างกล้ามเนื้อนอกจากต้องใช้วิธีที่ถูกต้องตามหลักการแล้ว
ยังต้องคำนึงถึงเรื่องอาหารการกินอีกด้วย ผู้ที่กำลังฝึกเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ควรได้รับพลังงานจากอาหารที่หลากหลายและมากกว่าปกติ เนื่องจาก
ร่างกายต้องใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น
เพื่อกระบวนการสร้างเสริมและกระบวนการทางชีวเคมีในเซลล์กล้ามเนื้อ
สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งพบได้ในอาหารจำพวกแป้ง ข้าว น้ำตาล จะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญอันดับต้นในการฝึกเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ยิ่งเราฝึกหนักและนานเท่าไหร่ ร่างกายยิ่งต้องการคาร์โบไฮเดรตสะสมในรูปสารไกลโคเจน (Glycogen) เพื่อให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อมากเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำว่า ร่างกายควรได้รับสารอาหารคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อยวันละ 500-600 กรัม เพื่อรักษาระดับไกลโคเจนให้อยู่ในระดับสูงอย่างเหมาะสม
สำหรับสารอาหารโปรตีนก็มีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอ
โปรตีนที่ร่างกายควรได้รับ ควรเป็นโปรตีนคุณภาพสูงซึ่งส่วนใหญ่ได้จากสัตว์ เช่น ไข่และน้ำนม
การได้รับโปรตีนในปริมาณที่สูงมากพอจะทำให้กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกมีประสิทธิภาพสูงสุดในการเสริมสร้างและเพิ่มขนาดได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานตามปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรบริโภคเกินกำหนด
เพราะร่างกายจะต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสียและส่วนเกินของโปรตีน
จนอาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้
สารอาหารที่จำเป็นอีกประเภท
คือ ไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่ร่างกายต้องการปริมาณไม่มาก
ไขมันที่ร่างกายควรได้รับ คือ ไขมันไม่อิ่มตัว
สารอาหารอื่น ๆ
ที่ไม่ให้พลังงานแต่มีความสำคัญต่อการทำงานหรือการขับเคลื่อนกลไลการทำงานของอวัยวะต่าง
ๆ ได้แก่ วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ
สารอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่พบได้ตามอาหารประเภทต่าง ๆ รวมถึงผักและผลไม้
การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ
นอกจากทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่แล้ว ยังช่วยป้องการอาการท้องผูกได้อีกด้วย
สำหรับน้ำนั้น ควรดื่มเป็นปกติวันละอย่างน้อย 8-10 แก้ว
แต่เมื่อฝึกเสริมสร้างกล้ามเนื้อหรือออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำก่อนฝึกสัก 2 แก้ว และสามารถจิบน้ำได้เป็นระยะ ๆ ขณะฝึกทุก ๆ 15-20 นาที ทั้งนี้ ยังควรดื่มน้ำเพื่อช่วยชดเชยน้ำที่เสียไปหลังการฝึกออกกำลังกายเสมอ
เครดิต:
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น